ในยุคนี้เรียกได้ว่าทุกคนสามารถทำคอนเทนต์ลงช่องทางต่างๆ ออกมาในรูปแบบของวิดีโอที่ให้ความสนุกสนาน บันเทิง หรือแฝงไปด้วยความรู้ เพียงแค่มีกล้องของโทรศัพท์มือถือก็สามารถทำคอนเทนต์ดีๆ ออกมาได้แล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นทำคอนเทนต์แล้วรู้สึกว่านอกจากจะมีภาพที่ดีแล้ว แต่เสียงยังไม่ชัดเจนมากพอ เพราะมีเสียงรบกวนเข้ามาเยอะ หรือไม่ได้ยินเสียงคนพูดเลยกลายเป็นปัญหา และทำให้เสียเวลาที่จะต้องมาแก้เสียงในภายหลัง อยากจะแก้ไขปัญหาด้วยการซื้อ ไมค์ไวเลส สักตัวมาใช้ แต่ดันติดตรงที่ว่าไม่รู้จะใช้ไมค์แบบไหน หรือใครกำลังเล็งๆ ไมค์ไวเลสอยู่แต่ไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี วันนี้ Aquapro อยากจะมาแนะนำ ไมค์ไวเลสยี่ห้อไหนดี และจะเหมาะกับคุณ ใครที่เป็นมือใหม่ก็สามารถใช้ได้ ไม่อ่านบทความนี้ถือว่าพลาดสุดๆ!!!
ไมค์ไวเลส คือ?
ไมค์ไวเลส หรือไมค์ไร้สาย (Wireless Microphone) เป็นไมค์ที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะเพียงแค่มีไมค์ไวเลสก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในการถ่ายวิดีโอ โดยที่เสียงพูดของเราชัดเจนทุกคำ ไม่ต้องกังวลว่าเสียงพูดจะเบาไปหรือมีเสียงรบกวนเข้ามาจนฟังเสียงไม่ออก ใช้งานง่ายสะดวกสบาย สามารถใช้ได้ทั้งใน และนอกสถานที่ ตอนที่นำไปใช้นอกสถานที่ต้องระวังในเรื่องของสัญญาณชนกัน แต่โอกาสที่สัญญาณชนกันไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ นอกจากจะใช้ไมค์ตัวนี้ที่ต่างประเทศจะทำให้มีโอกาสที่สัญญาณชนกันแน่ๆ เพราะประเทศของเขาไม่ได้รองรับคลื่นของไมค์ที่เราใช้
ไมค์ไวเลสยี่ห้อไหนดี ??
BOYA รุ่น BY-WM4 PRO K1
ด้วยดีไซน์ของ BOYA รุ่น BY-WM4 PRO K1 จะมาในรูปแบบของไมค์ไวเลสที่มีรูปทรงแบบ 4 เหลี่ยมผืนผ้า ตัวเครื่องเป็นสีดำดูทันสมัย มีตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 1 ตัว เหมาะกับการมีพิธีกรหรือว่าผู้พูดเพียงแค่คนเดียว เราสามารถเชื่อมต่อไมค์กับอุปกรณ์อย่างโทรศัทพ์ คอมพิวเตอร์ กล้องได้หมดเพราะภายในกล่องของตัวเครื่องจะมีสาย TRS และ TRRS มาให้เพื่อเอาไว้บันทึกเสียงระหว่างตัวรับ(Receiver) กับตัวส่ง(Transmitter) แถมไมค์ไวเลสตัวนี้จะมีประกันอยู่ที่ 2 ปีไม่กังวลเลยถ้าตัวเครื่องมีปัญหา แค่นี้ก็จะมีไมค์ไวเลสมาใช้ในราคาย่อมเยาที่ไม่เกิน 3,000 บาท เหมาะสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้นถ่ายคลิปและมีงบน้อย คุณภาพเสียงดีสามารถตัดเสียงรอบข้าง หรือเสียงลมได้ดีทำให้เสียงของคนพูดชัดเจน
- การส่งสัญญาณ: 2.4 GHz ทำให้เสียงมีคุณภาพที่ดี ถึงแม้จะอยู่ในระยะไกลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางที่ 60 เมตรก็ยังได้ยินเสียงชัดเจน
- การรับเสียง: Omnidirectional เป็นการรับเสียงรอบทิศทางที่ไม่ว่าเราจะหันหน้าไปทางไหน ไม่ตรงกับตำแหน่งไมค์ก็รับเสียงได้เหมือนกัน
- การเชื่อมต่อสัญญาณเสียง: ก็คือที่ตัวรับเสียงเราสามารถเสียบหูฟัง 3.5 mm เพื่อเช็คเสียงได้
- แบตเตอรี่: ก่อนจะเริ่มใช้ต้องหาซื้อถ่าน AA มาจำนวน 4 ก้อน ให้ใส่ในเครื่องอย่างละ 2 ก้อน แค่ใส่ถ่านก็สามารถใช้งานได้เลย
- น้ำหนัก: ตัวเครื่องมีน้ำหนักที่เบา เพราะทั้งตัวรับ และตัวส่งจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 94 g.
Saramonic รุ่น blink 500
Saramonic blink 500 จะมีตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 2 ตัว ทั้งสองตัวมีลักษณะคล้ายๆ กัน รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำ ขอบของตัวเครื่องโค้งมน ให้ดูทันสมัย ตัวรับปุ่มเปิด-ปิดจะเป็นสีแดง ส่วนตัวส่งปุ่มเปิด-ปิดเป็นสีดำแต่จะมีไฟสีฟ้าขึ้นอยู่รอบปุ่มเป็นวงกลมถ้าตัวเครื่องถูกเปิดใช้งาน เป็นไมค์ไวเลสแบบดิจิตอลที่จะใช้งานได้ง่าย สะดวกหรือใช้งานได้อย่างหลากหลาย เพราะที่ตัวรับจะมีไมค์โครโฟนติดอยู่ในตัวเครื่อง โดยที่เราไม่ต้องต่อสายไมค์แบบ Lavalier ให้ยุ่งยาก จะหนีบที่เสื้อหรือจะถือแล้วเดินพูดเลยก็ได้ แต่ถ้าใครรู้สึกว่าไม่อยากถือให้ยุ่งยาก หรือว่าไม่อยากหนีบที่ปกคอเสื้อเพราะดูใหญ่เกินไป ทาง Saramonic เองก็มีไมค์สายแยกมาให้ภายในกล่อง เหมาะกับใครที่ชอบถ่ายวิดีโอที่เน้นความคล่องตัว มีการบันทึกคุณภาพเสียงที่ชัดเจนตัดเสียงรบกวน บวกกับราคาที่ถือว่าไม่สูงมากกับคุณภาพแบบนี้ โดยราคาจะอยู่ประมาณที่ 6,000 – 7,000 บาท และมีอายุประกันการใช้งานถึง 1 ปี
- การส่งสัญญาณ: 2.4 GHz แบบดิจิตอลทำให้ส่งสัญญาณไปได้ไกลถ้าเป็นการใช้ไมค์ในพื้นที่กว้างไม่มีสิ่งกีดขวางจะส่งสัญญาณได้ไกลสูงสุดถึง 100 เมตร ถ้ามีสิ่งกีดขวางระยะทางก็จะลดลง และตอนที่สัญญาณขาดหายจะเงียบไม่มีเสียงสัญญาณแทรกรบกวนเลย
- การรับเสียง: Omnidirectional สามารถรับเสียงรอบทิศทาง ไม่ต้องกังวลว่าคุณภาพของเสียงจะตกเพราะมีความถี่เสียงอยู่ที่ 50 Hz – 18 KHz
- การเชื่อมต่อ: มีรูสำหรับเสียบสายชาร์จ USB-C DC 5V ทั้งตัวรับและตัวส่ง กับเสียบแจ็ค 3.5 mm ที่ตัวรับสำหรับเช็คเสียง
- แบตเตอรี่: ของตัวเครื่องเป็นแบบ Built-in สามารถชาร์จไฟได้ ไม่ต้องทำการเปลี่ยนถ่าน แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานได้มาถึง 5 ชั่วโมง
- ขนาด: ตัวรับสัญญาณขนาด 62×33×15.5 mm (หนัก 26g) และตัวส่งสัญญาณขนาด 63 × 43 × 16.5 mm (หนัก 34g)
Rode รุ่น Wireless Go II
Rode Wireless Go II ถือเป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก Rode Wireless Go ด้วยรูปร่าง และดีไซน์ของตัวเครื่องจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส รุ่นนี้จะมีตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 2 ตัว โดยที่ตัวส่งจะไม่มีจอแสดงผลมีแค่ปุ่มเปิด-ปิดเวลาที่เปิดที่ตัวเครื่องจะขึ้นไฟสีฟ้า 2 ขีด ส่วนตัวรับจะมีหน้าจอแสดงผลที่เราสามารถตั้งค่าได้ว่าอยากให้ไมค์ที่เป็นตัวส่งทั้ง 2 ตัว ทำงานแบบ Merge คือรวมเสียงเข้าด้วยกัน หรือว่า Split คือแยกเสียง 2 ช่องให้สะดวกต่อการตัดต่อ ถ้าใครเคยใช้ไมค์ที่มีตัวส่ง 2 ตัว พอเช็คคลิปวิดีโอ เสียงของทั้งสองจะแยกกันหากฟังดีๆ คนหนึ่งเสียงออกทางหูซ้าย คนหนึ่งเสียงออกทางหูขวา เป็นการแยกเสียงที่เหมาะสำหรับใครที่ต้องการจะตัดต่อปรับแต่งเสียง เผื่อคนหนึ่งพูดเสียงดัง คนหนึ่งพูดเสียงเบาก็จะได้ปรับให้เท่ากัน ไมค์ตัวนี้จะช่วยให้เนื้อเสียงเข้มคมชัด เสียงไม่ใสมากจนเกินไป สามารถตัดเสียงรอบข้างได้ในระดับที่ดี แต่ไม่มีไมค์สาย (Lavalier) มาให้ต้องซื้อแยกต่างหาก Rode Wireless Go II มีราคาอยู่ที่ประมาณ 11,900 – 14,600 บาท พร้อมกับการรับประกัน 2 ปี
- การส่งสัญญาณ: 2.4 GHz แบบดิจิตอลที่มีการส่งสัญญาณที่ดีมาก เพราะมีการบีบอัดสัญญาณทำให้ใช้ช่องสัญญาณไม่ถึง 1 MHz (จากปกติที่มีการใช้ถึง 13 ช่อง) ไม่ทำให้สัญญาณหายถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณเยอะ และยังใช้ไมค์ในพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางได้ไกลถึง 200 เมตรเลยทีเดียว
- การรับเสียง: Omnidirectional ที่สามารถรับเสียงได้รอบทิศทาง
- การเชื่อมต่อ: ตัวส่งสัญญาณจะมีช่องสำหรับ USB-C และช่อง Input TRS 3.5 mm ส่วนตัวรับสัญญาณมีช่องUSB-C และOutput 3.5 mm
- แบตเตอรี่: มีแบตเตอรี่ภายในตัวสามารถชาร์จไฟได้ และสามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องได้ถึง 7 ชั่วโมง
- ขนาด: ตัวส่งสัญญาณ 44×45.3×18.3 mm และตัวรับสัญญาณ 44×45.5×18.3 mm รวมน้ำหนักทั้งตัวรับและส่ง ไม่ถึง 100 g
DJI รุ่น DJI MIC
DJI MIC ถือว่าเป็นอะไรที่ช็อกวงการกล้องเลยก็ว่าได้ เพราะ DJI จะมีชื่อเสียงในเรื่องของโดรน หรือ Action Camera ทำให้ใครหลายๆ คนเองก็ไม่คิดว่าจะเข้าวงการไมค์ด้วย เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์ที่สมัย ขนาดกะทัดรัด ในรูปแบบของกล่องที่สามารถชาร์จทั้งตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 2 ตัวได้ โดยที่ตัวรับจะมีหน้าจอแสดงสถานะไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ คลื่นเสียง หรือจะทำการตั้งค่าอะไรก็สามารถทำได้หมดภายในตัวรับ เพียงแค่ใช้นิ้วสัมผัสที่หน้าจอก็จะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าได้ตามที่ต้องการ ส่วนตัวส่งจะมีไฟขึ้นสถานะว่าเปิดใช้งานอยู่ และถ้าเราลองกดปุ่มที่เครื่องแล้วขึ้นไฟสีแดง จะเริ่มทำการบันทึกเสียงโดยเก็บข้อมูลไว้ภายในตัวเครื่อง ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาของการเกิดคลื่นสัญญาณโดนรบกวนแล้วเสียงขาดหาย เหมาะสำหรับคนที่เป็นสาย Vlog ไม่ต้องมีกล้องที่ดูยิ่งใหญ่มากก็ได้ เพียงแค่มีโทรศัพท์ และใส่อะแดปเตอร์ (Lighting และ Type-C) ที่มีให้อยู่ในกล่องเสียบเข้ากับตัวรับ หลังจากนั้นให้นำตัวรับเสียบเข้ากับโทรศัพท์ เพียงเท่านี้เสียงของคุณก็จะชัดแจ๋ว มีราคาอยู่ที่ประมาณ 11,990 บาท พร้อมกับการรับประกัน 1 ปี
- การส่งสัญญาณ: 2.4 GHz มีการส่งสัญญาณที่ดีมาก สามารถยังใช้ไมค์ในพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางได้ไกลถึง 250 เมตร ถือว่าไกลมากจริงๆ
- การบันทึกเสียง: ที่ตัวส่ง หรือไมค์มีหน่วยความจำ 8 GB ทำให้สามารถบันทึกเสียงได้ถึง 14 ชั่วโมง ดึงไฟล์ได้ง่ายเพียงแค่เสียบสายเข้ากับคอมพิวเตอร์ ก็จะมีโฟลเดอร์ขึ้นมาให้เลย
- การเชื่อมต่อ: ตัวส่งสัญญาณจะมีช่อง USB-C และแจ็ค 3.5 mm ส่วนตัวรับสัญญาณ ก็จะเหมือนกับตัวส่งสัญญาณ
- แบตเตอรี่: ตัวรับ และส่งมีแบตเตอรี่ภายในตัวสามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องได้ถึง 5 ชั่วโมง ที่ตัวกล่องเก็บ หรือกล่องชาร์จมีความจุถึง 2,600 mAh สามารถชาร์จไมค์ได้เกือบ 2 รอบ
- ขนาด: ตัวส่งสัญญาณ 47.32×30.43×20.01 mm และตัวรับสัญญาณ 47.44×32.21×17.35 รวมน้ำหนักทั้งตัวรับและส่ง ไม่ถึง 90 g
Boya รุ่น BY-XM6-S2
Boya BY-XM6-S2 มาพร้อมกับดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบหนา แต่มีความโค้งมน ทั้งตัวรับและตัวส่งด้านหน้าจะมีหน้าจอแสดงผล กับวัสดุสีดำแบบมันวาว ส่วนด้านข้างเป็นผิวด้านช่วยให้จับถนัดมือ แถมที่คลิปหนีบของตัวรับสัญญาณสามารถเสียบเข้ากับที่กล้องได้เลย สะดวกง่าย แถมยังมีอุปกรณ์เสริมที่ให้มาอย่างไมค์ไร้สาย หรือ Dead cat เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากจะลองใช้ไมค์ไวเลสแบบดิจิตอล ที่มีคุณภาพตัดเสียงรอบข้างได้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี สำหรับตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 2 ตัวกับราคาที่เข้าถึงง่ายอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 6,000 บาท
- การส่งสัญญาณ: 2.4 GHz แบบดิจิตอลทำให้ส่งสัญญาณได้ไกลสูงสุดถึง 100 เมตร ในพื้นที่ที่โล่งกว้าง แต่ใช้จริงก็อาจอยู่ที่ 30 เมตรถือว่าค่อนข้างรับสัญญาณได้ไกลเช่นกัน
- การรับเสียง: Omnidirectional สามารถรับเสียงรอบทิศทาง และมีความถี่เสียงอยู่ที่ 50 Hz – 18 KHz
- การเชื่อมต่อ: USB-C สำหรับชาร์จไฟ มี Line In และ Out
- แบตเตอรี่: เป็นแบบ Built-in ทั้งตัวรับ และตัวส่งที่สามารถใช้งานได้ประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง
- ขนาด: ตัวรับ และส่งสัญญาณมีขนาดที่เท่ากัน 62.1×31.6×16.5 mm มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 32 g
Saramonic รุ่น blink 500 pro
Saramonic blink 500 pro ถูกพัฒนามาจาก Saramonic blink 500 ที่เป็นรุ่นแรก โดยที่รูปทรงของตัวเครื่องคล้ายคลึงกัน เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความโค้งมน พร้อมกับหน้าจอแสดงผลทั้งตัวรับ และตัวส่งเป็นหน้าจอ OLED ทำให้เรารู้ว่าตอนที่เปิดใช้งานเครื่อง เสียงเข้าหรือไม่เข้า ถ้าเสียงเข้าที่หน้าจอจะขึ้นเป็นคลื่นเสียง และสามารถดูได้ด้วยว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่เท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่ชอบให้ตัวส่งสัญญาณมีไฟที่หน้าจอ สามารถตั้งค่าที่ Backlight Mode ได้ว่าต้องการตั้งเวลาปิดหน้าจอในกี่วิ ถ้าจอดับไปแล้วก็แค่กดที่ปุ่มตรงไหนก็ได้ที่ไมค์หน้าจอไฟก็จะติดเหมือนเดิม ที่สำคัญเลยคือ มีตัวกล่องเก็บตัวรับ 1 ตัว และตัวส่ง 2 ตัว แถมตัวกล่องที่เก็บยังเป็นกล่องที่สามารถชาร์จไมค์ของเราได้อีกด้วย เหมาะแก่การนำไปใช้นอกสถานที่ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ พกพาได้สะดวกแค่เปิดกล่องแล้วหยิบไมค์มาใช้ ที่มาพร้อมกับคุณภาพเสียงที่ชัด หมดกังวลกับเสียงรอบข้าง เรียกได้เลยว่าเป็นโปรจริงๆ ราคาอยู่ที่ประมาณ 7,500 – 1,0000 บาท กับการรับประกันศูนย์ 2 ปี ถือว่าคุ้มค่ากับราคา
- การส่งสัญญาณ: ด้วยคลื่นความถี่ 2.4 GHz แบบดิจิตอลทำให้ส่งสัญญาณไปได้ไกลสูงสุดกว่า 100 เมตร
- การรับเสียง: ของไมค์โครโฟนเป็นแบบคอนเดนเซอร์ ที่ทำให้คุณภาพเสียงสูงฟังได้ชัด มีความถี่เสียงอยู่ที่ 50 Hz – 18 KHz
- การเชื่อมต่อ: มีช่องสำหรับการเสียบสายชาร์จที่ตัวรับ และส่งสัญญาณเป็น Micro USB มีรูเสียบ 3.5 mm
- แบตเตอรี่: มีภายในตัวเครื่องที่สามารถชาร์จไฟได้ มีอายุการใช้ถึง 8 ชั่วโมง ที่มาพร้อมกับกล่องเก็บในรูปแบบของเคสชาร์จที่มีความจุ 2,000 mAh โดยใช้สายชาร์จแบบ USB-C
- ขนาด: ตัวรับสัญญาณขนาด 56×38×29.4 mm (น้ำหนัก 32g) และตัวส่งสัญญาณขนาด 56.5×38×26.1 mm (น้ำหนัก 32g)
การเลือก ไมค์ไวเลส ไว้ใช้สักตัวก็จะต้องดูด้วยว่าลักษณะการใช้งานของเราเป็นแบบไหน เพราะถ้าเราซื้อไมค์ไวเลสมาใช้โดยที่ได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน อาจทำให้เสียเงินไปโดยศูนย์เปล่าที่เสียเงินซื้อไมค์ราคาสูง เลือกตัวที่มีฟังก์ชันครบครัน แต่ไม่ได้ใช้ฟังก์ชันของไมค์ได้อย่างเต็มที่ หรือว่ามีงบน้อยเลยเลือกซื้อไมค์เท่าที่งบตัวเองมีไปก่อน สุดท้ายเจ้าไมค์ตัวนั้นที่เราซื้อมาใช้กลับไม่มีฟังก์ชันที่ต้องการใช้งานจริงๆ ทำให้ต้องเริ่มเก็บตังซื้อไมค์ไวเลสตัวใหม่ แต่ถ้าเรารู้แล้วว่าต้องการซื้อไมค์ไวเลสไปใช้ทำอะไร ก็จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้ไมค์ที่ถูกใจได้ และไม่ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
ซื้อไมค์ Saramonic ได้เลยที่ร้าน Aquapro !!!
ใครที่กำลังสนใจไมค์อยู่บอกเลยว่า คุ้มสุดซื้อไมค์ Saramonic blink 500, Saramonic blink 500 pro และอุปกรณ์เสริมกับร้าน Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ พร้อมกับโปรโมชั่นสุดคุ้มมีของแถมให้แบบจุก ๆ กับ GoPro 10 โปรโมชั่น โปรส่งฟรี โปรผ่อนชำระ 0%* (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) ทำให้วางใจได้ว่าคุณจะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว เรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม เคล็ดลับต่างๆที่สาวกโกโปรควรจะรู้ อย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันล่ะ แล้วคุณจะรู้เกี่ยวกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น อย่าพลาดข่าวสารดีๆนะ!!!
>> GoPro Club กลุ่มสำหรับคนรักกล้องโกโปร <<
ติดตามและสั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ทั้งกล้อง GoPro และอุปกรณ์เสริม GoPro ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro