gopro 11 vs dji action 2 แบรนด์ไหนใช่สำหรับคุณ!

gopro 11 vs dji action 2 แบรนด์ไหนใช่สำหรับคุณ!

ในปัจจุบันกล้อง Action camera ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับนักเดินทางเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรม Extreme Sports และในอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลของการท่องเที่ยวกันแล้ว หากใครที่ต้องการเก็บช่วงเวลาดีๆ ด้วยการถ่าย Vlog ก็ควรมีกล้องขนาดพกพาไว้สักตัว เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

หลายๆ คนอาจเกิดคำถามว่า แล้วเราควรเลือกกล้องแบบไหน? วันนี้ทาง Aquapro จะมาแนะนำกล้อง Action camera ระหว่าง gopro 11 vs dji action 2 ทั้งเรื่องของดีไซน์ การใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์เฉพาะตัว เพื่อให้คุณสามารถเลือกกล้องที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูความน่าสนใจของกล้องทั้ง 2 ค่ายนี้กันเลย!

 

ดีไซน์ gopro 11 vs dji action 2

อย่างที่รู้กันดีว่ากล้องทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็นแอคชั่นแคมยอดฮิต และเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะพาไปดูคุณสมบัติการใช้งาน ในหัวข้อนี้เรามาทำความรู้จักกับดีไซน์ของ gopro 11 กับ dji action 2 กันก่อนดีกว่า ว่าแต่ละรุ่นจะมีความโดดเด่นในด้านใดกันบ้าง ตามไปดูกัน!

GoPro 11

GoPro 11

กล้อง GoPro 11 ดีไซน์มาในรูปทรงสี่เหลี่ยม มีขนาด 71.8×33.6×50.8 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 154 กรัม มาพร้อมหน้าจอสีแสดงผล LCD ทั้งด้านหน้า ขนาด 1.4 นิ้ว และด้านหลัง ขนาด 2 นิ้ว มีดีไซน์ที่กระชับ จับถนัดมือ และมีน้ำหนักเบา สามารถควบคุมการทำงานด้วยปุ่มโหมดด้านข้าง และปุ่มชัตเตอร์ด้านบน

ความพิเศษของ GoPro 11 คือ กระจกป้องกันหน้าเลนส์แบบ Hydrophobic Glass ช่วยป้องกันละอองน้ำหรือหยดน้ำ ที่กระทบกับหน้าเลนส์ให้ไหลผ่านอย่างรวดเร็ว และช่วยลดการเกิด Ghosting และแสง Flare ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ GoPro 11 ยังมาพร้อมกับ Max Lens Mod เลนส์ที่ช่วยป้องกันภาพสั่นไหว และเพิ่มมุมมองภาพให้กว้างยิ่งขึ้น 155 องศา สามารถใช้ร่วมกับโหมด Horizon Lock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

DJI Action 2

DJI Action 2

ในส่วนของกล้อง DJI Action 2 มาในรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด 39 X 39 X 23 มิลลิเมตร มีน้ำหนัก โดยรวม 120 กรัม (ตัวกล้อง 56 กรัม หน้าจอเสริม 64 กรัม) มาพร้อมหน้าจอสีแบบ Dual Screen ขนาด 1.76 นิ้ว ส่วนของตัวกล้องจะแยกกับหน้าจอทัชสกรีน DJI Action 2 มีรูปทรงการใช้งานแบบ Modular สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ เข้ากับพอร์ตแม่เหล็ก เพื่อขยายความสามารถในการใช้งาน

ตัวกล้องมีปุ่มเปิด/ปิดอยู่ด้านข้าง และควบคุมการทำงานด้วยปุ่มชัตเตอร์ด้านบน สามารถพกพาได้สะดวกด้วยการยึดตัวกล้องเข้ากับสายห้อยคอ Magnetic Lanyard แม้ว่า DJI Action 2 จะเป็นกล้องขนาดเล็ก แต่ วัสดุของตัวกล้องทำมาจาก Aluminum Alloy  ที่มีความทนทานสูง ส่วนเลนส์ของกล้องทำจากฟิล์ม Gorilla glass ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าเลนส์ทั่วไป

 

เปรียบเทียบ gopro 11 vs dji action 2 ด้านการใช้งาน

เปรียบเทียบ gopro 11 vs dji action 2 ด้านการใช้งาน

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักดีไซน์แบบคร่าวๆ กันไปแล้ว ในหัวข้อนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสเปคการใช้งานระหว่าง gopro 11 กับ dji action 2 ทั้งเรื่องของแบตเตอรี่ ระบบการทัชสกรีน ความละเอียดภาพ และ วิดีโอ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่สาย Action camera ต้องห้ามพลาด!

แบตเตอรี่

แน่นอนว่าเมื่อเป็นกล้องแอคชั่นแคม ส่วนใหญ่จะขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน และ ความจุของแบตเตอรี่ โดยคุณสมบัติแบตเตอรี่ของทั้ง 2 รุ่น มีดังนี้

  • GoPro 11 รุ่นนี้เป็น Enduro Battery มีความจุอยู่ที่ 1720 mAh สามารถใช้งานได้นานถึง 120 นาที แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถทนต่อสภาพอากาศได้ดี เนื่องจากมีการเคลือบประจุไฟที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ตัวเครื่องโกโปร Hero 11 ยังสามารถใช้แบตเตอรี่ร่วมกับ Hero 9 และ Hero 10 ได้
  • DJI Action 2 แบตเตอรี่ของตัวกล้องมีความจุที่ 1300 mAh สามารถใช้งานได้ 70 นาที แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ Power Module จะมีขนาดความจุเพิ่มขึ้นเป็น 5800 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ถึง 180 นาที โดยรวมแล้วใช้งานได้นาน 250 นาทีเลยทีเดียว โดยแบตเตอรี่ของ DJI Action 2 และ Power Module จะติดอยู่กับตัวเครื่องสามารถชาร์จไฟภายในตัวได้ ไม่สามารถถอดออกได้เหมือนกับ GoPro 11

สัมผัสการทัชสกีนระหว่าง gopro 11 vs dji action 2

หน้าจอของกล้องทั้ง 2 ค่าย เป็นระบบทัชสกรีน แต่ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ขนาดของหน้าจอ และ ความลื่นไหลของระบบสัมผัสจะเป็นอย่างไร ตามไปดูกัน

  • GoPro 11 รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอแสดงผล LCD ด้านหน้าขนาด 1.4 นิ้ว และ ด้านหลังขนาด 2 นิ้ว ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้วยขนาดของหน้าจอทำให้สามารถเห็นรายละเอียดชัด มองสบายตา ระบบทัชสกรีนทำงานลื่นไหล แม้ว่าการตั้งค่าจะมีโหมดที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน
  • DJI Action 2 หน้าจอมีขนาด 1.76 นิ้ว รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส หากต้องการกล้องหน้าสามารถต่อ Front Screen Module ได้ ด้วยขนาดของหน้าจอที่เล็กทำให้มองเห็นรายละเอียดได้น้อยกว่า GoPro 11 แต่ถ้าพูดถึงเรื่องระบบทัชสกรีน DJI สามารถทำงานได้ลื่นไหลกว่า และมีการตั้งค่าโหมดที่ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก

ความละเอียดวิดีโอ สเกลภาพ

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นกล้องดิจิตอล สเปคที่คนส่วนใหญ่ต้องการรู้เป็นอันดับแรกคือ “ความละเอียดวิดีโอ” ยิ่งกล้องที่สามารถตอบโจทย์การบันทึกภาพระหว่างทำกิจกรรม หรือ ถ่าย Vlog ได้ ต้องให้ความใส่ใจเรื่องของรายละเอียดความคมชัด รวมถึงสเกลภาพด้วยเช่นกัน

  • GoPro 11 มาพร้อม ความละเอียดสูงสุดที่ 5.3K 60FPS, 4K 120FPS และ 2.7K 240FPS ที่ สเกลภาพ 8:7 ขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถนำไปครอบเป็นขนาด 9:16 โดยไม่ลดคุณภาพของไฟล์ GoPro11 ออกแบบฟีเจอร์นี้มาเพื่อรองรับผู้ใช้งานบน TikTok และ Instagram ได้เป็นอย่างดี
  • DJI Action 2 การถ่ายวิดีโอมีความละเอียดสูงสุดที่ 4K 120FPS, 2.7K 120FPS และ FullHD 120FPS แม้ว่าความละเอียดสูงสุดจะน้อยกว่าโกโปร แต่ความละเอียดของกล้องรุ่นนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี และระบบจะรองรับ FPS120 (อัตราเฟรมเรท) ก็ต่อเมื่อทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์อยู่เสมอ

ความละเอียดรูปภาพ

ความสามารถการถ่ายภาพของGoPro 11 มีความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 27 MP รองรับไฟล์คุณภาพสูงทั้งแบบ Raw, Standard, HDR และ Superphoto หากครอบภาพจากวิดีโอจะได้ความละเอียดภาพอยู่ที่ 24.7 MP แต่ไม่ทำให้คุณภาพของไฟล์ลดลง

ส่วนDJI Action 2 มีความละเอียดภาพอยู่ที่ 12 MP รองรับไฟล์ JPEG และ RAW จะเห็นว่ากล้องรุ่นนี้เก็บรายละเอียดน้อยกว่าโกโปร และไม่มีฟีเจอร์ครอบภาพ ส่วนเลนส์ของ gopro 11 vs dji action 2 มีดังนี้

  • GoPro 11 สามารถถ่ายได้ถึง 4 ระยะ ได้แก่ Hyperview, SuperView, Wide และ Linear มาพร้อมกับระบบ Improve Auto Exposure ตัวช่วยปรับความสว่างของภาพอัตโนมัติ
  • DJI Action 2 สามารถถ่ายได้แค่ 3 ระยะ ได้แก่ Normal, Wide และเลนส์ Ultra Wide กว้างถึง 155 องศา เลนส์จะช่วยเก็บรายละเอียดภาพในมุมกว้างได้ดี แต่รูปภาพจะติดความโค้งของขอบมาด้วย

โหมดกันสั่น + Horizontal leveling

โหมดกันสั่น + Horizontal leveling

กล้องที่เหมาะสำหรับการเดินทาง อย่าง gopro 11 vs dji action 2 คุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ คือ ระบบกันสั่น ซึ่งกล้องทั้ง 2 ค่ายนี้ ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีจะเป็นอย่างไรบ้างตามไปดูกัน!

  • GoPro 11 ในปีนี้ทางโกโปรได้เพิ่มระบบกันสั่นเป็น HyperSmooth 5.0 มาพร้อมกับระบบ Auto Boost หากเปิดใช้งาน HyperSmooth 5.0 ควบคู่กับโหมด Auto Boost เมื่อเกิดการสั่น AI จะทำการครอบภาพให้อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ Horizon Leveling 360 องศา แม้ว่ากล้องจะขยับ หรือ เกิดการสั่น โหมดนี้จะช่วยให้ภาพยังคงมีความสมูท และไม่หลุดโฟกัส ไม่ว่าจะทำกิจกรรมไหนก็ไม่มีสะดุด
  • DJI Action 2 รุ่นนี้มีระบบกันสั่น RockSteady 2.0 หากเทียบในส่วนนี้โกโปรสามารถทำได้ดีกว่า แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ HorizonSteady จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีกว่าโกโปร ไม่ว่าจะวิ่ง หรือ อยู่บนรถก็จะได้มุมกล้องที่นิ่งเหมือนมืออาชีพ แต่ถ้าเลือกใช้โหมด Auto ในที่แสงน้อยอาจทำให้ภาพกระตุกได้

ระดับความลึกของสี

กล้องแอคชั่นแคมสำหรับออกทริป นอกจากความละเอียดของวิดีโอแล้ว เรื่องความคมชัดของสีก็เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานให้ความสนใจ ซึ่งกล้องGoPro และ DJI ก็ทำออกมาได้ดีพอๆ กัน โดยกล้องทั้ง 2 รุ่นนี้ ฟีเจอร์ระดับความลึกของสีจะมีความแตกต่างในด้านไหนบ้างมาดูกัน

  • GoPro 11 ในปีนี้โหมดวิดีโอมาพร้อมกับ โปรไฟล์สี 10-bit color depth มีระดับความลึกของสีถึง 1 พันล้านเฉดสี ช่วยให้สีภายในวิดีโอมีความสมูทมากยิ่งขึ้น และในส่วนที่เป็นแสงเงาตกกระทบจะมีความสว่างมากกว่า DJI
  • DJI Action 2 มีความละเอียดของภาพอยู่ที่ 4K พร้อมสีสันของภาพที่สวยสมจริง แต่ไม่สามารถปรับค่า bitrate ได้ ทาง DJI ในโหมดถ่ายภาพและวิดีโอมีสีให้เลือก 2 โหมด คือ Normal กับ Stay light d แต่เมื่อเทียบกับโกโปรสีของภาพจะจืดกว่า และในส่วนที่เป็นแสงเงาตกกระทบจะมืดกว่า โดยรวมแล้วสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าDJI Action 2

โหมด Slow motion

อีกหนึ่งจุดเด่นของการถ่ายวิดีโอคือ โหมด Slow Motion ถือเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับการเล่าเรื่องภายในวิดีโอได้อย่างลงตัว

  • GoPro 11 สามารถถ่าย Slow Motion ได้สูงสุด 8 เท่าอยู่ที่ 240fps บนความละเอียดที่ 2.7K หากต้องการทำ Slow Motion ที่ให้ความลื่นไหล สามารถปรับเป็น 4K ที่ 120fps จะได้ความละเอียดเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า
  • DJI Action 2 สามารถถ่าย Slow Motion ได้สูงสุด 8 เท่าที่ 240FPS เช่นเดียวกับโกโปร แต่ถ้าไม่ได้เชื่อมต่อกับหน้าจอเสริมจะทำ Slow Motion ได้ 4 เท่า ส่วนความละเอียดจะอยู่ที่ 4K 240FPS จะเห็นได้ว่าในส่วนนี้ ความละเอียดของ DJI สามารถทำได้ดีกว่า

โหมดถ่ายกลางคืน

โหมดถ่ายกลางคืน

มาต่อกันที่ Night Mode ของgopro 11 และ dji action 2 สิ่งสำคัญที่ทำให้ภาพในโหมดกลางคืนออกมาดีนั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเซนเซอร์ ส่วนโหมดพิเศษอื่นๆ ของ Night Mode ทาง GoPro และ DJI จะใส่เต็มแค่ไหนต้องไปดู!

  • GoPro 11 มีขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว พร้อมกับชิพ GP2 Processer ช่วยให้วิดีโอมีการเก็บค่าแสงเงาได้ดีและมีมิติมากขึ้น ทำให้ภายในวิดีโอดูสมจริง เมื่อลอง Night Mode ในGoPro 11 ภาพมีความสว่างมากกว่า DJI เนื่องจากขนาดของเซนเซอรที่ใหญ่ จึงทำให้มี Noise มาก แต่ทั้งนี้ก็สามารถปรับค่า ISO ลงเพื่อลดการเกิด Noise ได้ ส่วนความพิเศษของรุ่นนี้ทางโกโปรได้เพิ่มโหมด All Night Effect มา 3 โหมด ด้วยกัน นั่นก็คือ Star Trails, Light Painting และ Vehicle Light Trails
  • DJI Action 2 มีขนาดเซนเซอร์ CMOS 1/1.7 นิ้ว กล้องDJI สามารถเก็บรายละเอียดได้น้อยกว่า เนื่องจากมีขนาดเซนเซอร์ที่เล็กกว่า จึงทำให้มี Noise น้อยกว่า แต่เมื่อปรับสีให้ชัดขึ้นกลับเห็น Noise ชัดเจนมากกว่าโกโปร ในเรื่องของโหมดพิเศษจะน้อยกว่าโกโปร แต่สามารถถ่าย Timelapse และ Hyperlapse ได้

การ Live Stream ของ gopro 11 vs dji action 2

ด้านการ Live Stream ทั้ง 2 รุ่นสามารถทำออกมาได้ดี แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของการความความคมชัด และความละเอียดภาพดังนี้

  • GoPro 11 ความสามารถด้านการไลฟ์สตรีม รองรับความละเอียดสูงสุด 1080p Full HD ให้ภาพที่คมชัดตอบโจทย์การ Live Stream ได้อย่างลงตัว สามารถทำการบันทึก และส่งข้อมูลขึ้น Cloud อัตโนมัติ มีการเชื่อมต่อสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว ตัวกล้องGoPro 11 ยังมีไมค์ภายในตัว สำหรับรองรับการทำงานของ Creator นอกจากนี้ยังสามารถต่อไมค์ภายนอกเพื่อเพิ่มคุณสมบัติรับเสียงที่ชัดเจนมากขึ้น
  • DJI Action 2 การไลฟ์สตรีมของ DJI ความละเอียดอยู่ที่ 720p Full HD ซึ่งให้ความคมชัดน้อยกว่าทางโกโปร สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย ทั้งแอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดียต่างๆ นอกจากนี้หากต้องการไลฟ์ สามารถใช้ DJI Action 2 ในการไลฟ์ได้เลย ด้วยการต่อกับกล้อง Web Cam โดยตัวกล้องจะมีไมค์มาให้ 1 ทิศทาง หากต่อ Module จะสามารถรับเสียงได้ 3 ทิศทางเลยทีเดียว

ความสามารถในการกันน้ำ

จุดเด่นที่สำคัญของกล้องสำหรับออกทริป คือ “การกันน้ำ” ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ตามรายละเอียดดังนี้

  • GoPro Hero 11 Black สามารถกันน้ำได้ลึก 10 เมตร แบบไม่ต้องใส่ Housing หากต้องการดำน้ำลึกเกินกว่า 10 เมตร ต้องอาศัยตัวช่วยพิเศษอย่าง เคสกันน้ำ หรือ Housing นอกจากช่วยกันน้ำแล้ว ยังสามารถกันแรงดันน้ำได้ดี บางรุ่นสามารถกันได้ลึกถึง 30 เมตรเลยทีเดียว
  • DJI OSMO Action 2 ตัวกล้องสามารถกันน้ำได้ 10 เมตรแบบไม่ต้องใส่ Housing ส่วนตัวโมดูลไม่สามารถกันน้ำได้ หากต้องการใช้โมดูลในการถ่ายควรใส่ Housing ให้กับตัวกล้องและโมดูล จะสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 60 เมตร

 

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่น เป็นอย่างไร?ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่น เป็นอย่างไร ?

หลังจากที่ได้เปรียบเทียบด้านการใช้งานกันไปแล้ว ยังฟีเจอร์ที่น่าสนใจของโกโปร Hero 11 และ DJI Action 2 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ระบบสัมผัสทัชสกรีน แม้ว่าตัว DJI จะมีขนาดหน้าจอที่เล็ก แต่ระบบสัมผัสมีความลื่นไหลพอๆ กับGoPro 11 และความสามารถในการกันน้ำ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่คุณต้องลอง

หากใครที่สนใจสามารถเลือกกล้องสไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ โดยราคาเปิดตัว dji action 2 เฉพาะ Power Combo จะอยู่ที่ 14,990 บาท ถ้าซื้อเป็น Power Dual-Screen Combo อยู่ที่ 18,690 บาท

ส่วน GoPro 11 น้องใหม่ล่าสุดจากค่ายโกโปร ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท โดยกล้องทั้ง 2 รุ่นนี้สามารถเลือกซื้อในราคาสุดคุ้มพร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย ได้ที่ Aquapro

 

เลือกซื้อ Action Camera กับ Aquapro พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ

สำหรับใครที่กำลังมองหากล้องแอคชั่นแคม สามารถเลือกซื้อ GoPro 11 และ DJI Action 2 ได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มผ่อน 0% นาน 10 เดือน! (ทุกอย่างเป็นไปตามที่ร้านกำหนด) นอกจากจำหน่ายโกโปรแล้ว ทางเรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และ เทคนิคต่างๆ ในการใช้งานกล้องโกโปรเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามได้ที่ GoPro Club 

 

 

 

ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่

Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand

GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro

บทความที่เกี่ยวข้อง